23/12/53

ความสุขของแม่



โดย : อินทผลัม

เมื่อบรรดาคุณแม่ๆ มาพูดคุยสับเพเหระในเรื่องความสุขของคนเป็นแม่ ประกันได้เลยค่ะว่า 99% (อีก 1%เหลือไว้งั้นแหละ) จะเอ่ยถึงเรื่องของลูกคนที่เราตกหลุมรักเค้าตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นหน้า คาดการว่าหนึ่งในนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่เมื่อลูกเติบโตแล้วเป็นมุสลิมที่ดี พ่อแม่คงเอมใจล้นปรี่เมื่อผลิตผลเป็นคนดีในสังคม คงต้องย้อนกลับไปที่วิธีการเลี้ยงดูตลอดจนการดุอาอฺวิงวอนจากเจ้าของชีวิตอย่างไร พระองค์จึงทรงจัดวางให้ลุล่วงสำเร็จอย่างนี้
คุณแม่มือใหม่หลายท่านมักใช้สัญชาตญาณความเป็นแม่บวกกับวิธีเปิดตำราเลี้ยงลูก ซึ่งน่าจะเป็นข้อดีด้วยซ้ำที่มีผู้ช่วย  กฎบัญญัติการเลี้ยงดูลูกแบบอิสลามไม่มีเป็นหลักพื้นฐานขนาดว่าไม่ทำตามแล้วตกศาสนา แต่ถ้าทำแล้วจะเกิดผลดีรอบตัว ยังเป็นการเจริญแบบอย่างจากท่านร่อซูลศ็อลลัลลอฮุอะลัยอิวะซัลลัมที่ได้สอนสั่ง ได้ทำตามอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลาบัญชาลงมาในอัลกุรอาน ตัวอย่างเช่น ควรสอนลูกละหมาดในวัย  7 ขวบ เมื่อ 10 ขวบลูกก็ต้องละหมาดเป็น หากไม่ทำก็ตีได้ หรือเรื่องการแยกที่นอนของลูกชายเพราะเด็กเริ่มโต เป็นต้น น่าปลาบปลื้มที่ผู้สร้างได้บัญชาใช้ให้บ่าวของพระองค์เอาใจใส่ในเรื่องที่คนเรามักมองว่าขี้ประติ๋ว เพราะเนื้อแท้มันเป็นฐานชีวิตผู้ศรัทธาในการเรียนรู้เรื่องละหมาดซึ่งขาดไม่ได้ในชีวิตแม้แต่น้อย หรือการแยกที่นอนก็เพื่อให้ตระหนักถึงเพศของตนเองเพื่อรู้จักระมัดระวังการวางตัวให้เหมาะสม แยกแยะให้ถูกเพศ  แม้ปัจจุบันมีหนังสือแนะนำการเลี้ยงลูกด้วยอิสลามวางขายให้พี่น้องได้เลือกสรรอยู่หลายเล่ม  มุ่งเน้นตั้งแต่วิธีอบรมขัดเกลาคุณๆ ตัวน้อย การวางตัวของผู้อบรม  ผู้คนรอบข้าง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ เพื่ออนาคตอุมมะฮฺที่ดี แต่ยังต้องอาศัยเรียนรู้ พูดคุยผ่านผู้มีประสบการณ์ตรงหลายรุ่นหลายวัย เพราะทฤษฎีบางครั้งก็ใช้ไม่ค่อยได้ผลกับเด็กบางคน
                เกือบหกปีที่ผู้เขียนมีประสบการณ์อันน้อยนิดเหลือเกินในการรับมือลูกๆ ไม่ว่าจากการเปิดตำราหรือเลี้ยงลูกด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิดทำให้ได้เรียนรู้ลองผิดลองถูกเพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีพิมพ์เขียวติดตัวมาคนละฉบับ จึงได้พบว่าควรมีหลักทั่วไปในการเลี้ยงดูบ้าง วันนี้ลองนำมาเล่าสู่กันเล็กน้อยค่ะ
1. การสอนลูกต้องเข้าใจง่าย สม่ำเสมอ
                เราต้องพูดง่ายๆ ถ้าไปสอนเรื่องที่เป็นนามธรรมมากเกินไปเด็กจะไม่เข้าใจ เกิดเบื่อไม่อยากฟัง เช่น สอนลูกสาวเรื่องการวางตัวสงวนตัว ลูกสาวคนโตวันหกขวบอาจยังไม่เข้าใจนัก แต่ด้วยการปูพื้นฐานพูดคุยเรื่องนี้มาตลอด ชักชวนพูดคุยกันเรื่อยๆ สม่ำเสมอให้เกิดความเคยชิน เด็กซึมซับได้ง่าย ระมัดระวังตนเองไม่ใกล้เพศตรงข้ามที่ไม่คุ้น ไม่อยากจับมือสลามผู้ชายอื่น ลูกเคยสงสัยถามเรื่องการแต่งกายของสาวทั่วไป นอกจากจะคุยกันถึงพิษภัยจากการแต่งกึ่งเปิดกึ่งปิดแล้ว ยังเสริมให้เด็กเชื่อมั่นในหลักการอิสลามว่าดีที่สุด เหมาะสมสุดๆ กับมนุษย์ผู้ถูกสร้าง เพราะถ้าการแต่งกายแบบนั้นดีจริง อัลลอฮฺต้องให้มุสลิมะฮฺแต่งกายแบบนั้นแน่นอน แล้วลองวาดภาพในหัวดูว่า ถ้ามุสลิมะฮฺแต่งกายแบบนั้นมันจะเป็นอย่างไรบ้าง ยามไปละหมาดหรือเข้ามัสยิด คงต้องหอบข้าวของพะรุงพะรัง ไม่น่าดูยามเข้าไปศาสนสถานที่ที่ควรสำรวมตน  
2. ส่งเสริมเรื่องการอ่าน
เพราะการอ่านเป็นหัวใจหลักของชีวิตผู้ศรัทธา นอกจากทำให้ลูกมีความรู้ ฉลาดรู้ทันคนแล้ว ลูกยังได้ใช้ในการเผยแผ่อิสลามได้ในอนาคต ต้องสอนให้เด็กเห็นความสำคัญของการดะอฺวะฮฺด้วย การอ่านหนังสือหรืออัลกุรอานตั้งแต่ลูกอ่านหนังสือไม่ออก ใช้ภาษาง่าย ลูกจะคุ้นกับตัวอักษร แถมจดจำข้อมูลนานาได้อย่างแม่นทั้งประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ต่างๆ สำคัญแล้ว ความรู้ในอิสลามเหล่านี้ได้บอกกล่าวเราแล้วผ่านอัลกุรอาน เด็กๆ จะปฏิบัติตัวสอดคล้องกับหลักการแล้วยังได้เข้าใจเบื้องลึกมากขึ้น อาจตั้งคำถามให้เด็กฝึกคิด หากเจอเหตุการณ์อย่างนั้นบ้างจะทำอย่างไร ก็เป็นการสานต่อความคิดจินตนาการได้อีกขั้น ส่วนความรู้ทั่วไปก็ค่อยเสริมต่อตามไปไม่เสียหลาย  
3. สอนลูกไม่ให้ดูถูกผู้อื่นแม้กับคนที่ไม่ใช่มุสลิมและให้มีความหวังดีต่อกัน
การอบรมใกล้ชิดลูกทำให้เรามีโอกาสพูดคุยกับลูกตลอด เมื่อต้องออกนอกบ้านหรือต่างที่ ก็ควรฉวยโอกาสสอนลูกทีละเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การได้เจอคนแตกต่างจากเราในสังคมก็อย่าให้ลูกได้ดูถูกเค้าว่าเค้าไม่ดีไม่เป็นมุสลิม แต่ควรสอนให้คิดถึงสาเหตุที่เค้ายังไม่เป็นมุสลิม เค้าอาจไม่รู้จักอัลลอฮฺ ไม่รู้จักอิสลาม แล้วเราจะช่วยเค้าอย่างไร พยายามกระตุ้นให้เด็กมุ่งมั่นว่า ควรสะสมความรู้อิสลามมากๆ เพื่อมาแนะนำคนที่เค้ายังไม่ใช่มุสลิมให้เค้ารู้จักอัลลอฮฺ หรือการสร้างมิตรภาพที่ดีกับคนตามท้องถนน แม่ค้า คนกวาดถนน แม่บ้านก็ควรให้ลูกเรียกอย่างเกียรติ มีหางเสียง ให้เด็กมองว่าอาชีพเหล่านี้ ถ้าเราไม่มีเค้าจะเป็นอย่างไร บ้านเมืองจะสกปรกแค่ไหน ลูกก็ได้ใช้เหตุผลไปในตัว
4. รู้จักเล่นกับลูก
เด็กกับของเล่นเป็นของคู่กัน คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่าเล่นที่ดีที่สุดของลูกคืออะไร คือพ่อแม่นั่นเองค่ะ เพราะนอกจากเป็นสิ่งมีชีวิตที่โต้ตอบพวกเค้าได้สารพัดแล้ว ยังสร้างความสนิทสนม รู้จักกระเซ้าเย้าแหย่กันสร้างบรรยากาศรักใคร่อันอบอุ่น เรื่องของเล่น หรือการเล่นเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ต้องใส่ใจให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะรูปแบบการเล่นของลูกจะส่งผลต่อการเติบโตของลูกทั้งชีวิตได้เลยทีเดียว แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงนอกเหนือจากความรู้เรื่องการเล่นกับพัฒนาการตามวัยแล้ว ควรจะเน้นถึงเรื่องการส่งเสริมทักษะชีวิตของลูกผ่านการเล่นด้วย การเล่นของผู้ใหญ่จะไปช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพให้แก่ลูกต่อไป เพราะขณะที่กำลังเล่นกัน พ่อแม่สามารถสอดแทรกเรื่องราวดีๆ ที่ต้องการปลูกฝังให้แก่ลูกได้มากมาย
                ยกตัวอย่าง เมื่อคุณเล่นแต่งตัวตุ๊กตากับลูกสาว นอกจากสอนลูกในเรื่องการแต่งกายเหมาะสมตามหลักการแล้วยังสอดแทรกเรื่องการแต่งกายแบบไหนที่ไม่เหมาะสม แล้วจะส่งผลอย่างไรบ้าง ถ้าเป็นลูกชายอาจเป็นการเล่นรถ ตรวจเช็คสภาพก่อนเดินทางไปไหน  ทำให้เห็นจากสถานการณ์จริงแทรกเรื่องความปลอดภัยเข้าไปด้วยไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายประสบอุบัติเหตุได้ ลูกจะรู้จักเตือนเวลาพ่อขับรถ เป็นต้น
รวมไปถึงของเล่นที่มีทั้งปลายปิดและปลายเปิด แบบปลายปิดก็คือ ของเล่นที่มีคำตอบเพียงคำตอบเดียว เช่น โดมิโน หรือจิ๊กซอว์ ส่วนของเล่นแบบปลายเปิดก็คือแบบที่ใช้จินตนาการของตนเอง เช่น การต่อบล็อกเป็นรูปต่างๆ ตามความต้องการของเด็ก ดังนั้น เราไม่ควรปล่อยช่วงเวลาสำคัญของลูกให้ผ่านเลยไป โดยที่พ่อแม่ไม่ได้มีส่วนช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูก เรื่องเล่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เรื่องเล่นจะกลายเป็นการสร้างทักษะชีวิตให้ลูกได้อย่างน่าทึ่ง
4 ประการนี้ เป็นคำแนะนำเบื้องต้นเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจสร้างความสุขของผู้เป็นแม่โดยมีลูกเป็นเครื่องมือสร้างความสุขบนโลกใบย่อมนี้และเป็นความสุขถาวรบนโลกอันจีรัง อินชาอัลลอฮฺ ประการสำคัญที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือการวอนขอดุอาอฺจากผู้ทรงกำหนด แม้หลายอย่างอาจเป็นไปอย่างไม่ดั่งใจเราแต่ก็สามารถแปรเปลี่ยนได้ด้วยดุอาอฺของพ่อแม่ ตราบใดลมหายใจไม่สิ้น อะมานะฮฺที่ต้องรับผิดชอบดูแลของฝากจากอัลลอฮฺก็ยังไม่จบเช่นกัน!

24/11/53

ความคิด => ผังความคิด


ผู้เขียนได้ยินเสียงบ่นจากรอบข้างว่าเวลาคิดอะไรมักขี้ลืมและไม่ค่อยรอบคอบ เลยลองแนะนำวิธีหนึ่งที่อาจจะช่วยได้ คุณผู้อ่านลองมาดูไปพร้อมกันเลยนะคะว่าจะช่วยได้จริงไหม?  
บางท่านอาจเคยได้ยินคำว่า Mind Map หรือ ผังความคิด มันเป็นทฤษฎีในการนำเอาสมองมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยเฉพาะเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ คิดขึ้นโดยโทนี บูซาน (Tony Buzan) นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ ทฤษฎีนี้ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นรูปธรรมได้อย่างอิสระ สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ ด้วยการจดบันทึกด้วยสมองสองซีก จะใช้ในการทำงาน  การเรียน สามารถปลดปล่อยความคิดลงไปในกระดาษได้เต็มที่ หรือใช้แทนการจดเล็กเชอร์แบบเดิมที่น่าเบื่อแถมยังจดจำได้เพียงระยะสั้น
แผนผังความคิดจะเขียนลงบนกระดาษว่างจากจุดศูนย์กลาง กระจายเป็นรูปดาวคล้ายการแตกกิ่งก้านของต้นไม้ (การแตกของเส้นเซลล์สมอง) ในการเขียนแผนผังความคิดจะใช้ภาพประกอบง่ายๆ  คำสำคัญเป็นคำมูลสั้นๆ แถมใช้สีสันช่วยเพื่อให้จดจำได้ง่ายขึ้น  ในปัจจุบันมีทางลัดในการสร้างผังความคิดโดยการใช้ทูลหรือซอฟต์แวร์ช่วยข้อดีของการใช้ซอฟต์แวร์คือสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลได้อย่างอิสระค่ะ
ข้อดีของผังความคิด
o       ช่วยจดบันทึกทำให้สิ่งต่างๆ มองภาพได้ง่ายขึ้น เช่น สรุปบทเรียน หรือจับจินตนาการมาใส่กระดาษ
o       สร้างจากสิ่งที่เป็นนามธรรมสู่รูปธรรม
o       ช่วยในการเรียนรู้ในศาสตร์ต่างๆ ของมนุษย
o       ใช้แก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
o       ใช้ในการทำการตัดสินใจกรณีมีทางเลือกหลายๆ ทาง
แล้วถ้าจะเขียน Mind Map ต้องเตรียมอะไรบ้าง?
o       กระดาษเปล่าๆ 1 ใบ ไม่มีเส้นจะดีที่สุด ขนาดอย่างน้อยเท่า A4 หรือใหญ่กว่า
o       ปากกาหลากสี หรือปากกาลูกลื่นหลายสี  อย่างน้อย 3 สี
o       หัวสมองของคุณ และจินตนาการ หรือความคิดของคุณ
การเตรียมอุปกรณ์ไม่ยุ่งยากอะไร คราวนี้เรามาลองดูขั้นตอนกันค่ะ ว่าจะมีประสิทธิภาพในการย่อเวลา ย่อความคิดสู่กระดาษได้อย่างชัดเจนอย่างไร
ขั้นตอนวิธีในการเขียน Mind Map
๑)     เริ่มวาดแก่นแกน ที่จุดกึ่งกลางของกระดาษ ขนาดเท่าเหรียญสิบสำหรับกระดาษ A4  หากกระดาษใหญ่กว่า ภาพกึ่งกลางใหญ่กว่านั้นได้  เพราะว่าการเริ่มต้นที่จุดกึ่งกลางจะทำให้สมองของเราเป็นอิสระ  พร้อมที่แตกหน่อความคิดออกไปยังทุกทิศทาง
๒)     ใช้สีหลากสีสัน  สีสันจะทำให้แม็พของพวกเราดูมีชีวิตชีวาน่าอ่านมากยิ่งขึ้น
๓)    วาดกิ่งแก้ว ออกมาจากภาพตรงกลางแล้วแตกกิ่งก้อยออกมาตามที่สมองเราจะคิดได้
ต้องให้เส้นเชื่อมต่อกันเพราะว่าสมองของมนุษย์ทำงานแบบเชื่อมโยงเข้าหากัน
๔)      วาดกิ่งก้อย ที่แยกออกมาจากกิ่งแก้ว เป็นส่วนที่เป็นส่วนย่อยของกิ่งแก้ว (คุณผู้อ่านลองดูจากภาพประกอบนะคะ น่าจะเห็นชัดขึ้น)
ความจริงรายละเอียดยังมีอีกมากแต่เนื่องด้วยเนื้อที่จำกัด  แนะนำว่าผู้ที่สนใจควรไปศึกษาเพิ่มเติมทางอินเตอร์เน็ตหรือหาหนังสือ mind map มาอ่านกัน  ลองคิดตามตัวอย่างภาพที่ถูกต้องตามกฎ mind map ไปพลางๆ ก่อน  แต่บอกไว้ก่อนว่าควรจะมีการทำความเข้าใจอย่างดีเพราะมันมีผังอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันทำให้เกิดความเข้าใจผิดนำไปใช้แบบไม่เข้าใจ เสียหายถึงต้นตำรับเลยก็มีค่ะ แล้วจะมาโทษว่า mind map เขาไม่ดีจริงได้อย่างไร ลองมาพิสูจน์ด้วยตัวคุณๆ เองนะคะ
       

mind map กับเด็กตัวน้อย

หลายท่านอาจจะคุ้นหูเรื่องของผังความคิดหรือ mind map ผู้เขียนได้ใช้กับเด็กวัยเกือบ 6 ขวบ อย่าเพิ่งเกาหัวแล้วคิดว่ามันยาก ลองมาฟังกันก่อน [อ่านเรื่องมายด์แม็พที่นี่ 1, 2(สองมีเพลงประกอบ กรุณาปิดเสียงก่อน)]

จากประสบการณ์จริงได้ลองเขียนผังความคิดจากการอ่านหนังสือกับลูก เราพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาสาระที่ได้และสรุปบทเรียน ข้อคิด (วันนี้ไม่ได้นำมาเสนอ เพราะกระดาษจริงมันยุ่ยไปแล้ว อินชาอัลลอฮฺ ครั้งหน้าจะนำมาเสนอ) พอดีว่าวันนั้นพิเศษหน่อย เราไปห้องสมุดของกทม.ที่มาตั้งหน้าสุเหร่าหลายปีแล้ว ให้เค้าเลือกหนังสือที่อยากอ่าน แล้วแม่ก็อ่านให้ฟัง ทายสิแกหยิบเล่มไหน มันเป็นเล่มที่บ่านไม่มี คือเรื่องตด เป็นหนังสือแปลของญี่ปุ่นที่พูดถึงว่าตดมาจากไหนและไปไหน

เด็กสนุกและจดจำได้ดี กลับมาบ้าน พอช่วงเย็นเวลาเหมาะเจาะเลยชวนมาทบทวนกันดีกว่าว่า หลังจากอ่านแล้วได้ข้อสรุปอะไรบ้าง ด้วยความที่แม่วาดรูปไม่ค่อย work แต่ลูกก็เดาได้ถูก เราก็มาช่วยกัน นำทางให้เด็กว่าแบ่งหมวดอย่างไร เช่นว่า ภาพแก่นแกนตรงกลางเป็นรูปคล้ายเมฆสื่อถึงตด แล้วก็แตกกิ่งแก้วเป็นหมวดที่เราต้องการแบ่งเช่นว่า เกิดจาก ลักษณะ ส่วนกิ่งก้อยก็เช่น (เกิดจาก) การกินอาหาร อาหารบางประเภท อาการปั่นป่วนในท้อง เป็นต้น

ตัวเองจำไม่ได้นักว่าเนื้อหาหนังสือว่าอย่างไร แต่ mind map ก็เป็นเครืองมือที่ช่วยให้เด็กจดจำได้ง่ายและทบทวนของเก่าได้ดี

ข้อเฉพาะของการทำ mind map กับเด็กๆ คือ

- ผู้ใหญ่เป็นผู้วาดให้ อาจจะนำทางไปก่อน เด็กมาเสริมแต่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับวัยของเด็ก วาดรูปได้มากน้อยแค่ไหน

- ทำบ่อยๆ เค้าจะจับทางได้ว่าจะแบ่งหมวดหมู่ หรือแตกกิ่งแก้ว กิ่งก้อยอย่างไร

- เอามาทบทวน หรืออ่านแทนหนังสือ เด็กจะจำได้ง่า่ย


- ใช้สี เส้นที่ดึงดูดใจ น่าอ่าน

จริงๆ แล้วมันมีกฎของ mind map ที่ต้องศึกษาให้ดีก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้ใช้อย่างผิดๆ เรื่องนี้ต้องศึกษาจากต้นตำรับ ทุกวันนี้มีหนังสือมากมายเกี่ยวกับ mind map อาจารย์ที่ขึ้นชื่อเป็นต้นแบบ mind map ในไทย  อ. ธัญญา ผลอนันต์ 

อยากให้พี่น้องลองศึกษาแล้วนำมาใช้ มันจะมีประโยชน์มากมายในการช่วยจดจำ ผู้เขียนยังใช้ในการบันทึกอัลกุรอาน
เพื่อให้จดจำได้ว่าแก่นของแต่ละซูเราะฮฺกล่าวถึงเรื่องอะไร ผู้เขียนใช้กับซูเราะฮฺสั้นๆ ลองดูได้จากภาพตัวอย่าง

4/11/53

5 สิ่งที่พึงมี คุณเป็นพ่อแม่ที่ใช้มัน..หรือเสียมันไป

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤศจิกายน 2553 05:53 น.

       การบ่มเพาะต้นไม้ให้ เจริญเติบโตต้องเริ่มดูแลตั้งแต่ยังเป็นเมล็ดพันธุ์น้อย ๆ เช่นกันกับการบ่มเพาะศักยภาพการเรียนรู้ตามธรรมชาติของลูกวัยซน คุณพ่อคุณแม่ต้องสำรวจศักยภาพของตนเองในการถ่ายทอดการเรียนรู้ให้เจ้าตัว เล็กด้วย วันนี้ทีมงาน Life and Family มีข้อมูลดี ๆ มาลองให้เช็กกันดูว่า คุณเป็นพ่อแม่ยุคใหม่ที่กำลังใช้มัน..หรือสูญเสียมันไป
      
       Checklist 1 Present
    
       "คุณเคยนำเสนอกิจกรรมชวนสนุก หรือประสบการณ์แปลกใหม่ให้ลูกหรือไม่"
      
       บ่อยครั้งเราพบว่า เด็กพลาดโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพอันโดดเด่นในช่วงวัยเรียนรู้ไปอย่างน่า เสียดาย เหตุเพราะคุณพ่อคุณแม่เผลอมองข้ามความน่าสนใจของลูกไป จึงเป็นภารกิจสำคัญที่คุณต้องพูดคุยกับลูกว่า เขากำลังสนใจเรื่องใด และสรรหาแหล่งเรียนรู้ หรือร่วมเล่นเกมลงมือทำกิจกรรมนั้น ๆ เช่น สถาปนิกจิ๋ว จิตรกรน้อย นักเขียน นักเล่านิทาน เป็นต้น
      
       Checklist 2 Prepare
      
       "คุณจัดเตรียมบรรยากาศ สถานที่ และวัสดุอุปกรณ์ที่เอื้อต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของลูกหรือไม่"
      
       ข้าวของอุปกรณ์ไม่ต้องใหม่เอี่ยม สถานที่เล่น และเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องหรูหรา อาจเป็นแค่มุมเล่น และเรียนรู้ประจำบ้าน คอยดูแลให้อัดแน่นด้วยนิทาน การ์ตูนความรู้ สื่อของเล่นเป็นประโยชน์อย่างบล็อกไม้ หรือข้าวของที่ลูกใช้งานประจำ เช่น แว่นขยายของเจ้าหนูนักสำรวจ กระดาษสี พู่กัน กาว กรรไกร พร้อมสร้างสรรค์งานศิลป์ เท่านี้ศักยภาพของลูกก็พร้อมแสดงผลแล้ว (สิ่งของรีไซเคิลเป็นวัสดุชั้นดี ประหยัด ทำให้เด็กของเรารู้จักคุณค่าของสิ่งของ-jfj HS)
      
       Checklist 3 Play & Learn
      
       "คุณมีเวลาร่วมเล่น และเรียนรู้ไปพร้อม ๆ ลูกหรือไม่"
      
       อย่าเพิ่งวางใจว่า การจัดเตรียมยุทโธปกรณ์ไว้พร้อมสรรพ แล้วเจ้าหนูจะพร้อมกระโจนเข้าสู่สนามเรียนรู้แบบลุยเดี่ยว เพราะถ้าคุณจัดเวลามาขลุกอยู่กับลูกในยามเล่น คุณจะเห็นพัฒนาการของเขา เช่น การแก้ปัญหา การควบคุมอารมณ์ จินตนาการอันบรรเจิด แล้วคุณยังได้คอยสังเกตศักยภาพของลูกว่า ด้านไหนที่เพิ่มพูนขึ้น หรือด้านไหนที่คุณสามารถช่วยส่งเสริมได้ อาทิ ช่วยเจ้าหนูวิเคราะห์ผลการทดลองวิทยาศาสตร์เพื่อจดบันทึกเป็นแฟ้มสะสมผลงาน
ขอบคุณภาพจาก viewcare.co.uk/NannyCamx.asp
       Checklist 4 Participate
     
       "คุณมีเวลาส่วนร่วมกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ลูกพบ ทั้งดีใจ สมหวัง ผิดหวังหรือไม่"
      
       เพราะมีสถานการณ์มากมายที่อาจส่งผลต่อจิตใจของเจ้าหนู ซึ่งเจ้าหนูอาจร้องไห้เพราะถูกมดกัดตอนไปเฝ้าสังเกตเจ้ามดยามเดินขบวนขน เสบียงอาหาร ดังนั้น กำลังใจจากคุณจะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น กล้าที่จะเล่น และเรียนรู้โดยไม่หวาดหวั่นต่อความผิดหวัง รวมทั้งได้ซึมซับบรรยากาศสนุกสนานร่วมกันอีกด้วย (มันสะท้อนได้ดีสำหรับความรู้สึกเด็กๆ ว่าพ่อแม่เอาใจใส่พวเเค้ามากน้อยแค่ไหน แม้บางเรื่องคุณพ่อแม่อาจมองเป็นเรื่องงี่เง่าก็เถอะ ไม่เสียเวลา หากคุณเคยเป็นเด็ก-jfj HS)
      
       Checklist 5 Prevent
      
       "คุณตระหนักรู้ถึงภัยต่าง ๆ ในสังคมทุกวันนี้ และพร้อมปกป้องลูกจากสิ่งยั่วยุต่าง ๆ หรือไม่"
      
       ของเล่นอันตราย เครื่องเล่นไม่ปลอดภัย สื่อมอมเมา ภัยธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้คุณหวั่นใจเมื่อเจ้าตัวเล็กต้องก้าวเข้าไปเรียนรู้โลก ภายนอก แต่อย่าให้อะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางหนทางพัฒนาศักยภาพของลูกเลยครับ เพราะเราเชื่อมั่นว่าด้วยความรักของคุณพ่อคุณแม่ ย่อมคัดกรองสิ่งดี ๆ ให้ลูกอย่างครบถ้วน และอ้อมกอดแห่งความผูกพันจะเป็นเกราะกำบังให้เจ้าตัวเล็กพ้นจากอันตรายต่าง ๆ ที่ลูกอาจต้องเผชิญในอนาคต
      
       ทั้ง 5P ที่กล่าวมานี้ คุณเป็นพ่อแม่ที่ใช้มัน หรือสูญเสียมันไป ถ้อยคำดังกล่าว คือถ้อยคำสั้น ๆ ที่ชวนให้คุณในฐานะพ่อแม่ยุคใหม่ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของ ลูก เพื่อสร้างรากฐานความแข่งแกร่งของสมอง เมื่อวงจรสมองของเจ้าหนูได้รับการกระตุ้นผ่านการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ศตวรรษที่ 21 โลกจะผันแปรไปในทิศทางใด นักเรียนรู้ยุคใหม่จะต้องรู้เท่าทัน และพร้อมปรับตัวต่อทุกความเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด

"พ่อธีร์" แชร์เทคนิคสอนลูก "เก่งเลข" ง่ายนิดเดียว

ปฏิเสธ ไม่ได้ว่า เด็กไทยส่วนใหญ่กับวิชาคณิตศาสตร์ ยังคงเป็นทางคู่ขนานที่หาทางบรรจบกันได้ยาก สาเหตุหนึ่งเกิดจากทัศนคติที่ว่า คณิตศาสตร์เป็นเรื่องซับซ้อน เข้าใจยาก น่าเบื่อ และไม่สนุก แต่หากพ่อแม่ได้อ่านสิ่งที่ทีมงาน Life and Family นำเสนอต่อไป เชื่อว่าเด็กกับตัวเลขจะค่อย ๆ เขยิบเข้าหากันไม่มากก็น้อย
      
       บอกเล่าได้จาก พ่อธีร์ ปัณณธีร์ ผู้เขียนหนังสือ "คณิตศาสตร์เรื่องง่าย สอนได้ก่อนอนุบาล" เรื่องดังจากเว็บบอร์ดรักลูกที่มีพ่อแม่เข้าไปอ่านเกือบ 200,000 ครั้ง จนนำมาทดลองสอนลูกวัยก่อน 2 ขวบ พบว่า ลูกเก่งเลขจริงอย่างน่าอัศจรรย์
      
       โดยพ่อธีร์ เผยหลักการว่า การสอนให้เด็กเข้าใจ และสนุกกับตัวเลข โดยเฉพาะเด็กก่อนวัยเรียน ถือเป็นหน้าที่สำคัญของพ่อแม่ที่ต้องสอนลูกให้เห็นมากกว่าคิด เพราะการจะทำให้เด็กชอบเลข จินตนาการต้องมาก่อนการเรียนรู้ ซึ่งการสอนในเด็กเล็ก พ่อธีร์แนะว่า ควรเริ่มจากให้เด็กรู้จักสัญลักษณ์ของตัวเลข สอนให้นับ 1-10 สอนให้รู้จักจำนวน สอนเขียนตัวเลขโดยไม่จับดินสอ แต่ใช้นิ้วชี้ลากไปตามตัวเลข แล้วค่อย ๆ เพิ่มความซับซ้อนของเนื้อหาตามความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก
      
       "การเรียนคณิตศาสตร์ของเด็ก ต้องมีมิติให้เด็กได้ใช้จินตนาการ การที่เด็กคนหนึ่งจะเก่งคณิตศาสตร์ไม่ใช่เด็กที่ตอบได้ว่า 3+4 เท่ากับ 7 แต่เด็กที่เก่งได้ต้องเห็นธรรมชาติ ถ้าจินตนาการไม่มา การเรียนรู้ก็เกิดได้ยาก" พ่อธีร์กล่าว
      
       พื้นฐานกิจกรรม 4 อย่าง ฝึกลูกสนุกเลข
      
       ดังนั้นจึงสอดรับกับ 4 กิจกรรมพื้นฐานที่พ่อธีร์ออกแบบไว้สำหรับพ่อแม่เพื่อนำไปใช้กับลูกที่บ้าน ง่าย ๆ โดยมีรายละเอียดของกิจกรรมดังต่อไปนี้
      
       1. ทายลูกปัด
      
       เป็นกิจกรรมที่สอนให้ลูกรู้จักจำนวน การเพิ่มการลด วิธีเล่น หยิบลูกปัด หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เช่น กระดุมเม็ดใหญ่ ก้อนกรวดทาสี บล็อกไม้ ออกมาจำนวนไม่เกิน 5 เม็ด กี่ลูกก็ได้ แล้วให้ลูกทายแบบลุ้นสุด ๆ เช่น นี่กี่เม็ดลูก ถ้าลูกตอบถูกให้เก็บแล้วหยิบออกมาใหม่ แต่ถ้าลูกตอบผิด เพียงแค่บอกจำนวนที่ถูกต้องไป แล้วหยิบขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องสอนให้ลูกนับ โดยวัตถุประสงค์ของการทายลูกปัดเพื่อให้เด็กรู้จักจำนวน และฝึกให้เด็กกวาดสายตามองแล้วตอบได้อย่างรวดเร็ว
      
       "ทำไมถึงสอนแบบนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติ การที่เด็กได้เห็นธรรมชาติ เขาไม่ต้องนับ เช่น ลูกสาวผมเวลาเห็นดอกชบา จะบอกได้เลยว่า ดอกชบาส่วนใหญ่มี 5 กลีบ นั่นเพราะเขาเห็นธรรมชาติ มันอยู่ในจินตนาการของเขา ซึ่งต่างกับเด็กที่เจออะไรก็นับ มันทำให้การเรียนรู้ช้า ดังนั้นพ่อแม่ต้องสอนลูกก่อนวัยเรียนให้เห็น มากกว่าคิด เพราะการคิดเดี๋ยวโรงเรียนเขาสอนให้เอง" คุณพ่อธีร์บอก
ขอบคุณภาพจาก teachildmath.com/wordpress
       2. นับเลขปากเปล่า
      
       เป็นกิจกรรมนับเลขเร็ว หรือจับเวลาให้ลูกนับไม่เกิน 1 นาที เช่น 1-10 เป็นการฝึกความไวของสมองในการนับเลข ถ้าเด็กยังพูดไม่ได้ให้พ่อแม่นับให้ฟังเล่น ๆ ไปก่อน สำหรับเด็กที่พูดได้แล้ว พ่อแม่ควรเล่นกับลูกบ่อย ๆ เช่น นับเดินหน้า นับถอยหลัง หากลูกนับ 1-10 หรือ 10-1 ได้ดีแล้ว ให้ต่อยอดไปเรื่อย ๆ แต่อย่าลืมหัวเราะกับลูกด้วย
      
       3. วางเบี้ย
      
       เป็นกิจกรรมฝึกให้เด็กรู้จักใช้สายตา การมอง และการสัมผัส เพื่อให้เด็กเรียนรู้ตำแหน่งของตัวเลขได้อย่างแม่นยำ
      
       วิธีเล่น
      
       - เด็กเล็ก เริ่มจากเบี้ยแค่ 5 ตัว คือ เลข 1-5 ก่อน
      
       - หยิบเบี้ยเลขใดขึ้นมาก็ได้ แล้ววางในช่วงดังกล่าวบนกระดาน ทำจนครบ 5 ตัว
      
       - วันแรก ๆ คุณพ่อคุณแม่อาจทำให้ลูกดูก่อน ถ้าลูกยังไม่สนใจให้เล่นกันเอง 2 คน ทำท่าทางสนุก ๆ ลูกจะรู้สึกอยากมาเล่นเองภายหลัง
      
       - จำนวนเบี้ย ใช้จำนวนเท่าที่เด็กสามารถวางได้ภายใน 3 นาทีเป็นหลัก เช่น เด็กสามารถวางเบี้ยเลข 1-20 ได้ภายใน 3 นาที ก็เอาเท่านี้ก่อน เมื่อเด็กทำได้ดีขึ้นเหลือไม่เกิน 2 นาที จึงค่อยเพิ่มจำนวนเบี้ย
      
       - เพิ่มจำนวนเบี้ยเป็น 10 20 30 ขึ้นไปตามลำดับจนถึง 100 ตัวในที่สุด
      
       - จดบันทึกเวลา จำนวนเบี้ยที่วาง พัฒนาการ และกุศโลบายล่อหลอกที่ได้ผล
      
       หมายเหตุ กระดานวางเบี้ย 100 ช่อง ยังไม่มีขายตามท้องตลอด จะดัดแปลงจากกระดานโกะก็ได้ พ่อแม่ลูกสามารถช่วยกันทำเองได้ในราคาประหยัด
ขอบคุณภาพจาก www.just-the-facts.us
       4. เขียนเลข
      
       เป็นกิจกรรมฝึกให้ลูกเกิดการรับรู้ที่ดี เพราะประสาทสัมผัสของลูกส่วนใหญ่จะอยู่ที่นิ้วมือ
      
       วิธีเล่น
      
       - ปรินท์ตัวเลข 0-9 ตัวโต ๆ ใส่กระดาษ ทำเป็นบัตรคำ ถ้าเป็นเด็กเล็กกว่า 1 ขวบ ให้ใช้กระดาษขนาด A4
      
       - ชูบัตรคำ อ่านตัวเลขให้ลูกฟัง 1 รอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ให้เด็กคิดว่าเป็นการเล่น ซึ่งการอ่านให้ลูกฟัง ไม่ต้องพยายามอธิบาย หรือพยายามสอน แต่พยายามอ่านให้เสร็จเร็วที่สุดก่อนลูกเบื่อ เพราะอย่าลืมว่าเด็กเล็กสมาธิยังไม่ยาวนานมากนัก
      
       - เมื่อเด็กคุ้นเคยกับตัวเลขแล้ว ให้จับลูกนั่งตัก จับมือขวาลูก เอานิ้วชี้ลูกลากไปตามตัวเลข และอ่านให้ฟังระหว่างลากด้วย
      
       - ทำจบ 1 รอบ ถือเป็นอันเสร็จกิจกรรม
      
       - ถ้าลูกสำเสร็จแล้ว ไม่ต้องพยายามหาการบ้านอื่นเพิ่ม หากเด็กยังไม่เบื่อ และอยากทำอีก ลองเปลี่ยนเป็น ระบายสีพี่ตัวเลขก็ได้
      
       - ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะเขียนเลข 1-100 ไม่เป็น เมื่อกล้ามเนื้อมือพร้อม เด็กจะเขียนได้ดีเอง เพราะเด็กคุ้นเคยกับตัวเลขอยู่แล้วจากการนับเลขปากเปล่าทุกวัน และมองเห็นตัวเลขบนกระดาน 100 ช่อง
      
       อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 กิจกรรมนี้ พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเก่งเลขก็สอนลูกได้ ที่สำคัญอย่าพยายามทำให้เป็นทฤษฏี พยายามเล่นกับลูกด้วยท่าที และสีหน้า และความรู้สึกที่เหมาะสม โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ที่สำคัญเลิกคาดหวังว่าลูกจะทำได้ ควรเล่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรดุ หรือตำหนิลูก
      
       "ถ้าอยากให้ลูกเก่งเลข พ่อแม่ต้องไม่หวังอะไรเลย ตัดความคาดหวังออกไปให้หมด เพราะถ้าเกิดคุณหวัง ความกดดันจะเกิดกับลูกทันที พวกนี้ล้มเหลวหมด ดังนั้นใช้ความเป็นธรรมชาติในการเล่นกับลูก วันนี้ลูกทำไม่ได้ วันหน้าค่อยว่ากันใหม่ แต่ขอให้ใจเย็น ๆ กระทำจนเป็นวินัย ไม่ต้องเล่น เวลาเล่นกับลูกขอเพียง 15 นาที และเล่นกับเขาให้สนุกก็พอ เพราะถ้าลูกสนุก อะไร ๆ มันก็ง่ายขึ้น" พ่อธีร์เผยเทคนิค
      
       เมื่อเด็กผ่านกิจกรรมทั้ง 4 อย่าง ก็จะเข้าสู่กิจกรรมขั้นต่อไปอย่างเป็นระบบ โดยเป้าหมายของพ่อธีร์จะอยู่ที่ การเขียน Mapping การเล่นโก๊ะ เพื่อฝึกการแพ้-ชนะ และฝึกเชาวน์ปัญญา โดยตัวอย่างเด็กที่ผ่านการฝึกจะเขียน mapping ออกมาได้ประมาณนี้
ผลงาน Mapping ของน้องปริม
       "คณิตศาสตร์ไม่ใช่แค่คิดเลข ไม่ใช่แค่การแก้โจทย์ แต่คณิตศาสตร์คือระบบ และกระบวนการทางความคิดทั้งหมดที่ส่วนใหญ่มักตีความผิดกัน คิดว่า ถ้าเด็กทำโจทย์คณิตศาสตร์ได้ คือ เด็กเก่งเลข ซึ่งมันไม่ถูกต้อง พ่อแม่จำเป็นต้องสร้างกระบวนการทางความคิดให้ลูกด้วยจินตนาการโดยให้เห็น มากกว่าคิด จากนั้นพยายามลบทัศคติในแง่ลบเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ออกไป แล้วใช้กิจกรรมพื้นฐาน 4 อย่างที่กล่าวมานี้เล่นกับลูกทุกวัน วันละนิดวันละหน่อย เชื่อว่าคณิตศาสตร์จะเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว" พ่อธีร์ทิ้งท้าย
       คัดลอกบทความจาก

       *** หากพ่อแม่ท่านใดมีข้อสงสัย สามารถเข้าไปแลกเปลี่ยนกับพ่อธีร์กันได้ที่ www.Facebook.com/porthee